Health

6 โรคยอดฮิต ในกลุ่มพนักงานออฟฟิศ ที่ควรระวัง!

รู้กันไหมว่ายังมี “โรคจากการทำงาน” ที่พบบ่อยในกลุ่มพนักงานออฟฟิศซ่อนอยู่มากมาย นอกจาก อาการปวดหลัง ปวดคอ

สำหรับพนักงานออฟฟิศที่ต้องนั่งจ้องอยู่หน้าจอคอมเฉลี่ยมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องปกติสำหรับหลายๆ คน แต่รู้กันไหมว่ายังมี “โรคจากการทำงาน” ที่พบบ่อยในกลุ่มพนักงานออฟฟิศซ่อนอยู่มากมาย นอกจาก อาการปวดหลัง ปวดคอ หรือแม้กระทั่งความเครียดที่สะสมจากงาน ที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้..

ทำไมพนักงานออฟฟิศถึงมีความเสี่ยงต่อโรคจากการทำงาน?

เหตุผลที่ทำไมพนักงานออฟฟิศถึงมีความเสี่ยงต่อโรคจากการทำงานมากกว่ากลุ่มอื่น
  • นั่งทำงานเป็นเวลานาน
    การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังและคอทำงานในท่าเดียวกันตลอดวัน เมื่อเวลาผ่านไปจะเกิดอาการปวดเมื่อยและเสี่ยงต่อการเกิดโรคในระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
  • อยู่ในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง
    ท่าทางการนั่งที่ไม่ถูกต้อง การจัดวางตำแหน่งของร่างกายที่ผิดท่า อาจเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการปวดคอและกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มพนักงานที่ไม่ใส่ใจเรื่องการปรับท่าทางขณะนั่งทำงาน
  • เกิดความเครียดจากงาน
    ความเครียดและความกดดันในการทำงานส่งผลต่อสุขภาพจิต ทำให้เกิดภาวะเครียดเรื้อรัง อาจส่งผลให้มีปัญหานอนไม่หลับ ความวิตกกังวล และปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมา
  • ไม่แบ่งเวลาออกกำลังกาย
    การไม่มีการออกกำลังกายสม่ำเสมออาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ไม่เต็มที่ ร่างกายอาจไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคหรือการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เสี่ยงต่อการป่วยง่ายขึ้น

พนักงานออฟฟิศจัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรคได้ง่ายกว่ากลุ่มอื่นๆ เนื่องจากรูปแบบการทำงานที่ต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน และขาดการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเหมาะสม ทีนี้มาลองสำรวจกันว่าโรคยอดฮิตที่พนักงานออฟฟิศมักพบเจอบ่อยมีโรคอะไรบ้าง พร้อมวิธีป้องกันและดูแลตัวเองให้อยู่ห่างไกลจากโรคเหล่านี้

6 โรคที่พบบ่อยในกลุ่ม “พนักงานออฟฟิศ” ที่ควรระวัง..

โรคยอดฮิตที่พนักงานออฟฟิศมักพบเจอบ่อยมีโรคอะไรบ้าง พร้อมวิธีป้องกัน

1. โรคออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome)

มีข้อมูลจากกรมอนามัยพบว่าวัยทำงานหรือพนักงานออฟฟิศกว่า 60% เกิด “โรคออฟฟิศซินโดรม” จากอาการที่พบบ่อย อย่างเช่น อาการปวดหลังเรื้อรัง และมือชา เอ็นอักเสบ นิ้วล็อค สาเหตุเกิดจากการนั่งทำงานเป็นอยู่กับที่เป็นเวลานานโดยไม่ได้ขยับร่างกายติดต่อกันหลายชั่วโมง จนอาจทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบและอาการตึงเครียดสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลัง จนอาจจะถึงขั้นหมอนรองกระดูกเสื่อมหรือหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทได้ มีการศึกษาจากมหาวิทยามหิดล ยังพบอีกว่า ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ ท่าทางการทำงานที่ไม่เหมาะสมและการนั่งทำงานเป็นเวลานานโดยไม่พัก

วิธีป้องกัน:

  • ปรับท่านั่งให้ถูกต้อง โดยให้หลังตรง และเท้าวางบนพื้นอย่างพอดี
  • ปรับความสูงของจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตา
  • พักเบรกทุก ๆ 30 นาที เพื่อยืดเส้นยืดสาย
  • เลือกเก้าอี้ที่รองรับสรีระและปรับระดับให้เหมาะสมกับความสูงของโต๊ะได้

2. โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cytstitis)

โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบมักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยช่วงอายุที่พบมาก คือประมาณ 20 ปีขึ้นไป สาเหตุหลักมาจากการกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน เป็นพฤติกรรมที่พบบ่อยในกลุ่มพนักงานออฟฟิศที่มีงานยุ่งจนไม่สะดวกลุกไปเข้าห้องน้ำทันที ซึ่งการกลั้นปัสสาวะนานๆ ทำให้แบคทีเรียมีโอกาสเจริญเติบโตและก่อให้เกิดการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ อาการที่พบบ่อย ปัสสาวะไม่สุด ปัสสาวะแบบกะปริบกะปอยบ่อยๆ รู้สึกแสบขณะปัสสาวะ บางรายอาจมีปัสสาวะปนเลือดควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง อย่ารอช้า เพราะการรักษาในระยะเริ่มแรกจะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนได้

วิธีป้องกัน:

  • ดื่มน้ำอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน เพื่อช่วยขับสารพิษและลดความเข้มข้นของเชื้อโรค
  • ไม่ควรกลั้นปัสสาวะ เมื่อรู้สึกปวดควรเข้าห้องน้ำทันที
  • รักษาความสะอาดให้ดีหลังปัสสาวะเสร็จ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

3. โรคกระเพาะอาหาร (Dyspepsia)

ทำงานหนักจนไม่มีเวลากินข้าว เสี่ยงต่อโรคกระเพาะอาหารอักเสบได้ กรมการแพทย์ ได้มีการเปิดเผยข้อมูลออกมาแล้วว่า “ในกลุ่มวัยทำงานเสี่ยงเป็นโรคกระเพาะอาหารได้มากกว่ากลุ่มอื่น” สาเหตุมาจากการใช้ชีวิตในสังคมวัยทำงานยุคปัจจุบันที่มีพฤติกรรมเร่งรีบ มีความเครียด ความกังวล ทำให้เกิดพฤติกรรมการรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา เมื่อเรากินอาหารไม่ตรงเวลา ร่างกายเราจะหลั่งกรดออกมา จนเกิดอาการ ปวดท้อง แสบท้อง ไม่สบายท้อง หรือจุกเสียดแน่นบริเวณใต้ลิ้นปี่คล้ายกับกรดไหลย้อน ซึ่งในระยะยาวอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบของเยื่อบุในกระเพาะอาหาร เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงจากโรคกระเพาะอาหาร กลุ่มวัยทำงานควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

วิธีป้องกัน:

  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมรับประทานอาหารให้ตรงเวลาและครบ 3 มื้อ อย่าปล่อยให้ท้องว่าง
  • เลือกอาหารที่ย่อยง่าย หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด รสเปรี้ยว อาหารหมักดอง
  • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก

4. โรคซึมเศร้า (Depression)

ทำไมโรคซึมเศร้าถึงเกิดขึ้นในพนักงานออฟฟิศ? ​​สำนักงานสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้ (สวร.) ได้เผยข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับสุขภาพจิตของพนักงานในประเทศไทย พบว่า 40% ของพนักงานมีระดับความเครียดสูง ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากภาระงานและปัญหาเศรษฐกิจ ตามรายงานการประเมินสุขภาพจิตในกลุ่ม 850,000 คน กรมสุขภาพจิตระบุว่ามีผู้ที่เข้ารับการประเมินและมีความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าอยู่ที่ 17.2% โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยทำงานที่ต้องแบกรับงานหนักเกินไป

สาเหตุหลักของโรคซึมเศร้า เกิดจากความเครียดสะสมและการกดดันจากการทำงานที่หนักเกินไป รวมไปถึงการขาดสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานกับชีวิตส่วนตัว อาจส่งผลให้หลายคนรู้สึกหมดกำลังใจ ซึ่งโรคซึมเศร้ามีผลต่อทั้งร่างกายและจิตใจ ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง และส่งผลกระทบไปถึงชีวิตส่วนตัว อาการที่พบได้จากโรคนี้ คือ รู้สึกเศร้า หมดความสนใจในกิจกรรมที่เคยชอบ หรือมีปัญหาในการนอนหลับ

วิธีป้องกัน:

  • หลีกเลี่ยงการทำงานต่อเนื่องโดยไม่พัก ควรแบ่งเวลาให้มีส่วนสำหรับกิจกรรมที่ช่วยคลายเครียด เช่น การออกกำลังกายหรือการทำสมาธิ
  • อย่าเก็บไว้คนเดียวเมื่อรู้สึกเครียด ให้ลองพูดคุยกับเพื่อนหรือครอบครัว
  • ให้เวลากับตัวเอง หาเวลาพักผ่อนท่องเที่ยวใกล้ๆ หรือเดินทางไปสถานที่ใหม่ๆ

ข้อแนะนำ: หากรู้สึกว่าความเครียดกำลังส่งผลกระทบต่อชีวิตมากเกินไป แนะนำว่า ให้ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต

5. โรคไมเกรน (Migraine)

คิดว่าทุกคนเคยมีอาการปวดหัวข้างเดียว ปวดหัวตุ๊บๆ จนรู้สึกทำงานไม่ไหว ซึ่งเป็น อาการของโรคไมเกรน ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทและสมอง จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ในยุคปัจจุบัน “โรคไมเกรน” กลายเป็นโรคยอดนิยมในกลุ่มคนทำงาน โดยพบว่าผู้ป่วยโรคไมเกรนส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 25-30 ปี สาเหตุเกิดจากภาวะความกดดัน ความเครียดจากงานที่สูง รวมถึงการนอนหลับไม่เพียงพอก็มีผล ส่วนใหญ่จะมีอาการปวดหัวตุ๊บๆ ข้างเดียวบริเวณขมับ อาจปวดร้าวมาที่ตาหรือท้ายทอย บางครั้งมาพร้อมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือความไวต่อแสงและเสียงร่วมด้วย 

อาการปวดจากโรคไมเกรนสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทย่อย ตามระยะเวลาการเกิดอาการ กลุ่มแรกเกิดอาการเป็นครั้งคราว ในกลุ่มนี้จะมีอาการปวดไม่เกิน 15 วันต่อเดือน ถือเป็นอาการที่พบโดยทั่วไป ส่วนอีกกลุ่มไมเกรนแบบเรื้อรัง มีอาการปวดตั้งแต่ 15 วันขึ้นไปต่อเดือน จำเป็นต้องใส่ใจเป็นพิเศษ พร้อมหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่อาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น

วิธีป้องกัน:

  • แบ่งเวลาพักสายตาทุก ๆ 20 นาที 
  • จัดการความเครียดด้วยการทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายระหว่างทำงาน เช่น เดินผ่อนคลาย, ยืดเส้นยืดสาย, เดินไปคุยกับเพื่อนร่วมงาน
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันเพื่อลดความเสี่ยงของอาการไมเกรน
  • ปรับแสงและเสียงในที่ทำงานให้เหมาะสมกับการทำงาน เพื่อลดปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดไมเกรน

เคล็ดลับ: หากรู้สึกว่าเริ่มมีอาการปวดไมเกรนเริ่มมารบกวน ลองปิดไฟหรือใช้ผ้าขนหนูเย็นประคบบนหน้าผากสักครู่ อาจช่วยบรรเทาอาการได้ในทันที

6. โรคอ้วน (Obesity)

นั่งติดเก้าอี้กินจุบจิบระหว่างทำงาน แถมไม่ออกกำลังกายระวังเสี่ยงเป็นโรคอ้วนลงพุง จากรายงานข้อมูลกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่า พนักงานวัยทำงานประมาณ 15 ล้านคนที่อยู่ในระบบประกันสังคมของประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานไม่น้อยกว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ กำลังประสบปัญหาความเครียดสะสมที่กระทบต่อสุขภาพร่างกาย และเสี่ยงต่อโรคอ้วนเพิ่มขึ้น เนื่องจากขาดการออกกำลังกายและบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูง โรคอ้วนจึงกลายเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในกลุ่มพนักงานออฟฟิศมากกว่าคนทั่วไป  ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังอื่น ๆ ตามมาได้ เช่น โรคเบาหวานและโรคหัวใจ ในบางรายอาจ รู้สึกอ่อนเพลีย หายใจลำบากในขณะออกกำลังกาย และอาจมีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของหัวใจได้

วิธีป้องกัน:

  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เลือกอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ และโปรตีนที่มีคุณภาพ หลีกเลี่ยงอาหาร fast food และอาหารที่มีไขมันสูง
  • ใช้เวลาในที่ทำงานสำหรับออกกำลังกายง่ายๆ เช่น การเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ก็ช่วยได้เหมือนกัน
  • กำหนดเวลาการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอหลังเลิกงานอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน
แนะนำเคล็ดลับการดูแลสุขภาพสำหรับพนักงานออฟฟิศเพื่อป้องกันโรคต่างๆ จากการทำงาน

หากไม่อยากกังวลปัญหาเรื่องโรคต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมา ลองเริ่มต้นดูแลสุขภาพตัวเองตั้งแต่วันนี้ การดูแลสุขภาพไม่ใช่เรื่องที่ยากหรือซับซ้อน แม้แต่ในวันทำงานที่เต็มไปด้วยความเครียดและความกดดันจากการทำงานหนัก เราก็สามารถสร้างความสมดุลชีวิตและมีสุขภาพที่ดีร่วมกันได้ หากเราใส่ใจในเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ ที่ทำในทุกๆ วัน เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ การกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เรารักษาสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจได้ในระยะยาว เพราะ การตั้งใจดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้จะนำพาไปสู่ความสำเร็จในทุกๆ ด้านของชีวิต

เริ่มลงทุนในสุขภาพเพื่อชีวิตที่ดีกว่า โต๊ะปรับระดับไฟฟ้าและเก้าอี้เพื่อสุขภาพ LIV ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์มาพร้อมกับฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ทุกการทำงาน ลดความเสี่ยงจากโรคที่เกิดจากการนั่งทำงานนานๆ อย่างเช่น ออฟฟิศซินโดรม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ไลน์ @livth (มี@ด้วยนะ) 

LIV Bliss Ergonomic Health Chair

(4)

In stock

฿10,900.00฿11,900.00
Select options This product has multiple variants. The options may be chosen on the product page

LIV Horizon Ergonomic Health Chair

(13)

In stock

฿6,900.00฿7,900.00
Select options This product has multiple variants. The options may be chosen on the product page

Electric Height Adjustable Desk LIV Standing Desk Normal

(21)

In stock

฿13,900.00฿19,900.00
Select options This product has multiple variants. The options may be chosen on the product page

Electric Height Adjustable Desk LIV Standing Desk Pro Gen II

(19)

In stock

฿15,900.00฿21,900.00
Select options This product has multiple variants. The options may be chosen on the product page

Leave a Reply