อัปเดต Wellness Trend 2025 พร้อมตัวช่วยเสริมสุขภาพเพื่อการทำงานที่ดีขึ้น

ในยุคที่เราต้องทำงานหนักและใช้เวลานั่งหน้าคอมกันเป็นเวลานาน “สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี” จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่เราควรให้ความใส่ใจ ไม่ว่าจะเป็นการติดตามข้อมูลสุขภาพ การดูแลการนอนหลับ หรือแม้กระทั่งการจัดสภาพแวดล้อมในที่ทำงานอย่างเหมาะสม เพื่อให้เราทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและส่งเสริมการทำงานของเราให้ดีขึ้น ซึ่งในความหมายของ “Wellness” คือ การมีสุขภาพดีแบบครบองค์ประกอบทั้ง สุขกายกาย (Physical Health) + สุขภาพใจ (Mental Health) + สุขภาพจิต (Spiritual Health) รวมกัน ไม่ใช่ดีแค่สุขภาพกายอย่างเดียว ในปี 2025 เทรนด์ Wellness กำลังเริ่มเข้ามาและกำลังเป็นที่พูดถึงในแวดวงสุขภาพ โดยมีการนำทั้งเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อส่งเสริมและดูแลสุขภาพให้ดีขึ้น
เทรนด์ Wellness ที่น่าจับตามองในปี 2025

สถาบัน Global Wellness Institute ประเมินแนวโน้มของตลาด Wellness Economy คาดว่าในปี 2028 จะเติบโตที่ 9 ล้านล้านดอลลาร์ และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย(CAGR) 7.3 % ต่อปี ในปี 2023 ที่ผ่านมาพบว่า อุตสาหกรรม Wellness มีมูลค่ากว่า 6.3 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปี 2022 ที่อยู่ที่ราว 5.61 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งในปี 2025 มีแนวโน้มที่จะเติบโตไปจนถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์ ทั้ง สินค้าความงาม และการดูแลตนเอง, อาหารเพื่อสุขภาพ, ฟิสเนสและการออกกำลังกาย, การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, แพทย์แผนไทย, การแพทย์เฉพาะบุคคล, อสังหาริมทรัพย์ที่เป็นมิตรต่อสุขภาพ, การดูแลสุขภาพในที่ทำงาน, สุขภาพจิต, ธุรกิจสปา และสุดท้าย เทคโนโลยีด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นที่น่าสนใจ อย่างเช่น
- อุปกรณ์ติดตามสุขภาพ (Wearable Health Tech): อุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพ เช่น สมาร์ทวอทช์ และสายรัดข้อมือฟิตเนส สำหรับติดตามข้อมูลสุขภาพ
- การดูแลสุขภาพ (Personal Health Apps): แอปพลิเคชันต่างๆ ที่ช่วยติดตามข้อมูลสุขภาพและให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพร่วมกับ AI
- การออกกำลังกาย (Fitness): อุปกรณ์ออกกำลังกายอัจฉริยะ ที่มีโปรแกรมปรับแต่งแบบ Personalize และให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้
- สุขภาพจิตที่ดี (Mental Wellness Apps): แอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ให้บริการ เกี่ยวกับการฝึกสมาธิ การฝึกสติ และการให้คำปรึกษาเชิงจิตวิทยา
- อุปกรณ์ที่ช่วยจัดการความเครียด (Relief Gadget): อุปกรณ์นวดไฟฟ้า หรืออุปกรณ์บำบัดด้วยแสง
- การนอนหลับ (Sleep Tracker): อุปกรณ์ติดตามการนอนหลับที่วิเคราะห์คุณภาพการนอนหลับและให้คำแนะนำในการปรับปรุงการนอนหลับ
ปี 2025 กำลังจะมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นเต้นในวงการสุขภาพและเทคโนโลยี รวมถึงหรือการดูแลสุขภาพที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่เริ่มแฝงตัวอยู่ในอุปกรณ์ต่างๆ แล้ว แต่ไม่ใช่ทุกอุปกรณ์ที่มีอยู่ในตลาดจะเหมาะกับทุกคน ควรเริ่มต้นด้วยการระบุว่า เราต้องการดูแลในด้านไหนของสุขภาพมากที่สุด เช่น การติดตามการนอนหลับ วัดระดับความเครียด หรือใช้ส่งเสริมด้านการทำงาน แล้วเลือกอุปกรณ์ที่มีฟีเจอร์ตรงกับความต้องการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด มาดูกันว่ามีอุปกรณ์ตัวช่วยไหนที่น่าสนใจบ้าง..
แนะนำ Wellness Tech ตัวช่วยเสริมสุขภาพเพื่อการทำงานที่ดีขึ้น

1. Smart Ring (แหวนอัจฉริยะ)
หลายคนอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับแหวนอัจฉริยะหรือ Smart Ring ซึ่งเมื่อเทียบความนิยมแล้วอาจจะไม่เท่ากับ Smart Watch ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี อุปกรณ์ตัวนี้ไม่ได้เป็นเครื่องประดับ แต่เป็นอุปกรณ์ที่สามารถติดตามสุขภาพได้ตลอด 24 ชั่วโมง มีความสามารถเกือบเทียบเท่ากับ Smart Watch โดย Smart Ring มีขนาดเล็กและบางเบากว่า สวมใส่ได้ง่ายตลอดทั้งวันโดยไม่รู้สึกอึดอัด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บข้อมูลสุขภาพโดยเฉพาะ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ คุณภาพการนอนหลับ ระดับความเครียด ส่วนใครที่คิดว่าสุขภาพไม่สัมพันธ์กับการทำงาน สังเกตได้ว่า เมื่อสุขภาพเราไม่ดีหรือเวลาที่เราป่วย ประสิทธิภาพในการทำงานของเราก็จะลดลงอย่างชัดเจน ซึ่ง Smart Ring จะเข้ามาเป็นตัวช่วยในการเริ่มติดตามสุขภาพของเราอย่างจริงจัง
ในปี 2025 คาดว่าแหวนอัจฉริยะ หรือ Smart Ring จะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในประเทศไทย โดยเฉพาะหลังจากการเปิดตัว Samsung Galaxy Ring ที่มาพร้อมกับ AI-powered Health Tracking ซึ่งเป็นแหวนอัจฉริยะรุ่นแรกของซัมซุงเมื่อปีที่ผ่านมา ทำให้หลายๆ คนเริ่มรู้จักกับเจ้า Smart Ring เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง
2. Smart Water Bottles (ขวดน้ำพกพาอัจฉริยะ)
มีข้อมูลจากคณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ระบุไว้ว่า ร่างกายของเรามีน้ำอยู่ประมาณ 60-70% และในแต่ละวันร่างกายต้องสูญเสียน้ำประมาณวันละ 2 ลิตร ซึ่งขับออกมาทางปัสสาวะ เหงื่อ หรือลมหายใจ นอกจาก เรื่องการออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพแล้ว การดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาสุขภาพด้วยเหมือนกัน ยิ่งเวลาที่งานยุ่ง หรือต้องทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกันเราอาจหลงลืมหรือมองข้ามความสำคัญของการดื่มน้ำไป
Smart Water Bottles ไม่ใช่ขวดน้ำธรรมดา แต่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเวลาที่เราลืมดื่มน้ำได้ พร้อมช่วยในการวัดและบันทึกปริมาณน้ำที่เราดื่มต่อครั้งได้อย่างแม่นยำขึ้น เป็นอีกอุปกรณ์เสริมสุขภาพที่น่าสนใจอีกตัวที่เราสามารถกำหนดเป้าหมายการดื่มน้ำตามความต้องการของร่างกายได้ เมื่อถึงเวลาที่ควรดื่มน้ำเราจะได้รับการแจ้งเตือนผ่านตัวขวดน้ำ ซึ่งช่วยเสริมสร้างนิสัยการดื่มน้ำที่ดี สามารถติดตามปริมาณน้ำที่เราดื่มในแต่ละวัน และยังช่วยแสดงผลสถิติการดื่มน้ำย้อนหลังของเราผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อให้รู้ว่าร่างกายเราได้รับน้ำเพียงพอแค่ไหน มีงานวิจัยจากแหล่งข้อมูลของ OSHA พบว่าการขาดน้ำแม้ในระดับเล็กน้อย (1–2% ของน้ำหนักตัว) สามารถทำให้เกิดความผิดปกติของความสามารถในการจดจำ และการโฟกัส ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานที่ต่ำลงได้
3. Smart Ergonomic (อุปกรณ์ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์)
เมื่อเรานั่งทำงานเป็นเวลานานในท่าเดียวกัน กล้ามเนื้อและกระดูกของเราจะเกิดอาการตึงเป็นพิเศษ ซึ่งอาจนำไปสู่อาการปวดหลัง คอ และส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว ในขณะที่เทรนด์ดูแลสุขภาพในที่ทำงานปัจจุบันอาจจะเน้นไปที่การขยับร่างกายหรือการออกกำลังกายสั้นๆ เพื่อคลายความเมื่อยล้า นอกเหนือจากการนำเทรนด์สุขภาพมาปรับใช้แล้ว การลงทุนในอุปกรณ์ที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ก็เป็นอีกตัวช่วยสำคัญที่จะช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการทำงาน พร้อมร่วมส่งเสริมสุขภาพการทำงานและความเป็นอยู่ที่ดีเวลาทำงาน (Wellness) โดยรวมได้อีกด้วย

4. Smart Headband Meditation (อุปกรณ์ช่วยนั่งสมาธิ)
การนั่งสมาธิเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยลดความเครียดและเพิ่มสมาธิในการทำงานได้ Smart Headband Meditation เหมาะสำหรับใครที่มีปัญหาในการนั่งสมาธิ โดยอุปกรณ์ช่วยนั่งสมาธิแบบอัจฉริยะตัวนี้มีเทคโนโลยี EEG (Electroencephalography) สามารถติดตามสัญญาณสมอง วัดระดับการผ่อนคลาย และช่วยให้เราปรับปรุงการฝึกสมาธิได้อย่างตรงจุด ด้วยคุณสมบัติที่น่าสนใจของอุปกรณ์นี้ คือ สามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันแล้วแนะนำวิธีการฝึกสมาธิในแต่ละวันได้ด้วย ทำให้การฝึกสมาธิไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป และยังเป็นวิธีที่ดีในการลดความเครียดและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานในระยะยาวได้
ศาสตราจารย์ซาร่า ลาซาร์ นักประสาทวิทยาด้านโยคะและการทำสมาธิ จาก Harvard University ได้ทำการทดลองกลุ่มตัวอย่าง จากการฝึกสมาธิต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ ซึ่งจากการรายงานผลการทดลองภายหลังจากการสแกนสมองกลุ่มตัวอย่างด้วยเครื่อง MRI พบว่า สมองเนื้อเทา (Grey matter) ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ของเซลล์ประสาทจะหนาขึ้น โดยส่วนดังกล่าวมีส่วนช่วยในการเรียนรู้และการจดจำ
5. Deep Sleep Headband (อุปกรณ์ช่วยในการนอนหลับ)
เมื่อก้าวเข้าสู่วัยทำงานหลายคนมีปัญหาเรื่องการนอน แน่นอนว่า ทุกคนคงรู้กันดีอยู่แล้วว่าการนอนหลับเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วย “เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเรา” สังเกตได้เลยว่า วันไหนที่เรานอนไม่พอเราจะไม่สามารถโฟกัสกับการทำงานได้อย่างเต็มที่ มีงานศึกษาวิจัยใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Occupational Health Psychology ล่าสุดในเดือนมกราคม 2025 ที่ผ่านมา พบว่า 80% ของวัยทำงานในประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน เสี่ยงเป็นโรคนอนไม่หลับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยสาเหตุหนึ่งมาจากรูปแบบลักษณะการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น การนั่งทำงานนานๆ
อุปกรณ์ช่วยการนอนหลับ อย่างเช่น Deep Sleep Headband จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยจัดการปัญหาการนอนหลับ เนื่องจากออกแบบมาเพื่อปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับของผู้ใช้งาน พร้อมกับเซ็นเซอร์ที่ตรวจจับคลื่นสมองและอัตราการเต้นของหัวใจ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าสู่ภาวะหลับลึกได้ง่ายขึ้น จากวารสาร Journal of Sleep Research พบว่า การนอนหลับที่เพียงพอและมีคุณภาพสามารถปรับปรุงการทำงานของสมองได้ดีขึ้น ทั้งในด้านความจำและการแก้ปัญหา
6. Mental Health Apps (แอปดูแลสุขภาพจิต)
นอกจากอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ช่วยดูแลสุขภาพทางกายแล้ว สุขภาพจิตทางใจก็สำคัญเหมือนกันที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานโดยรวมของเรา ทุกวันนี้มีแต่เรื่องให้ปวดจิต ปวดใจจนอาจจะรู้สึกกดดัน หรือเกิดภาวะเครียดจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า แน่นอนแหละว่าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเครียดที่เกิดจากการทำงานได้ และหลายคนที่มีปัญหาจากการทำงานอาจกลัว ไม่กล้าปรึกษาเพื่อน หรือครอบครัว ไม่ต้องกังวลแล้วเพราะ ทุกวันนี้มีแอปพลิเคชันที่มีฟังก์ชัน Chatbot AI ที่คอยรับฟังปัญหาแบบไม่ตัดสิน และช่วยวิเคราะห์สุขภาพจิตให้เราได้ตลอด 24 ชม.
ควรดูแลสุขภาพให้ดีและอย่ารอให้ถึงวันที่ต้องป่วยก่อนถึงรักษา.. ลองนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาปรับใช้กับวิถีชีวิตและสภาพแวดล้อมของเรา ถือเป็นแนวทางใหม่ในการสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและการดูแลสุขภาพควบคู่ไปด้วย การเลือกใช้อุปกรณ์หรือตัวช่วยที่เราได้แนะนำไปทั้งหมดวันนี้ไม่เพียงแต่ช่วยดูแลเรื่องสุขภาพ แต่ยังช่วยส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้เราได้หลากหลายแง่มุม แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกอย่างตามที่เราได้บอกไป แนะนำว่า ทุกคนสามารถเลือกใช้อุปกรณ์ตามความเหมาะสม หรือความต้องการของตัวเองได้เลย จริงๆ แล้วยังมีอุปกรณ์ Wellness Tech หลายตัว หลายแบบในตลาดที่ช่วยเรื่องสุขภาพอีกมากมาย ที่สำคัญก่อนตัดสินใจซื้ออย่าลืมศึกษาข้อมูลให้ดีกันก่อนน้า.. 😀
เก้าอี้สุขภาพ LIV Bliss Ergonomic Chair
In stock
แท่นวางจอมอนิเตอร์ LIV Wooden Monitor Risers
In stock
โต๊ะปรับระดับไฟฟ้า LIV Standing Desk รุ่น Normal
In stock